เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓๑ ธ.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะ สัจธรรมเป็นสัจธรรม สัจจะ อริยสัจจะ เวลาอริยสัจจะเป็นความจริงนะ เป็นความจริงสิ่งที่เราปรารถนา เป็นความจริงหนึ่งเดียวในจักรวาล ในวัฏฏะ ไม่ใช่ในโลกนี้หรอก ในวัฏฏะ ถ้าใครถึงสัจธรรมอันนั้นในพระพุทธศาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบสัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสวย ได้วิมุตติสุขในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านกราบธรรมอันนั้น กราบธรรมอันนั้นไง

นี่ในพระพุทธศาสนา ในพระพุทธศาสนามันมีตั้งแต่เริ่มต้นของทาน เริ่มต้นของทานคือความเสียสละ ถ้ามีการเสียสละ สังคมจะร่มเย็นเป็นสุขไง สังคมที่มันขัดมันแย้งกันอยู่นี่ ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ต่างคนต่างเอารัดเอาเปรียบ ต่างคนต่างไม่มีน้ำใจต่อกัน เราเป็นคนที่เสียสละๆ เหมือนกับเราเสียเปรียบเขา

เราเสียเปรียบเขานะ เราเป็นผู้ให้ๆๆ แต่ผู้ให้เพื่อความสงบสุข ให้เพื่อคนอื่นเขามีความสุขนะ ให้เพื่อคนอื่นเขาพ้นจากวิกฤติในชีวิตของเขา มันเป็นบุญกุศลทั้งนั้นน่ะ

เวลาคนมันตึงเครียด คนมันโดนกดดันนะ แล้วมีคนมาเปิดให้ คนมาช่วยเหลือ มันฝังใจ นี่ความฝังใจอันนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสียสละอย่างนั้น แล้วเสียสละอย่างนั้นเสียสละแบบอะไร

เสียสละแบบทิ้งเหว เสียสละแบบพระพุทธศาสนาไง เสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเราเสียสละไปแล้วเขามีความสุขของเขา เขามีวิกฤติในชีวิตของเขา มันมีความสุขของเขา แล้วเราจะไปหวังอะไรล่ะ เราหวังแต่ความเป็นธรรมไง ความยุติธรรม มันไปยุติกันด้วยความเป็นธรรม ถ้ามันยุติด้วยความเป็นธรรม มันเสมอภาคแล้ว นี่จิตใจที่สูงส่ง

เราไม่ปรารถนาสิ่งใดๆ เลย คือว่าเราไม่ทำบุญกุศลด้วย เราไปเอาความทุกข์ความยากมาบีบคั้นหัวใจของเราไง

ถ้าเราไปทำบุญกุศล จะได้ไอ้นั่น จะได้ไอ้นู่นๆ มันเป็นการติดสินบนไง ทำบุญบาทหนึ่งจะถูกรางวัลที่หนึ่ง โอ๋ย! มันกี่ล้านล่ะกับบาทหนึ่งน่ะ นี่มันติดสินบน

แต่ถ้าเราทำของเรานะ เราทำบุญกุศลของเรา สิ่งที่ทำบุญกุศลของเราเพื่อหัวใจของเราไง สิ่งใดก็แล้วแต่มันไม่มีค่าเท่ากับหัวใจดวงนี้หรอก หัวใจดวงนี้ถ้ามันมีคุณค่าขึ้นมานะ มันเห็นแล้วมันขำๆ หมดน่ะ

เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านมองสังคม มองความคิดของสังคม ท่านมองแล้วมันตลก ท่านถึงบอกว่าพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก

ทีนี้เวลาพูดกันไม่รู้เรื่อง พวกเราในวัฒนธรรมของชาวพุทธไง นิพพานนี้สูงส่งมาก นิพพานจะเอื้อมเอาไม่ถึงเลย ทุกคนมันไม่กล้าปีนบันไดกันไง มันเลยบอกมันอยู่สูงส่งไง

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านกระทำของท่าน ท่านปรากฏในหัวใจของท่าน ถ้าปรากฏในหัวใจของท่านขึ้นมาแล้วนะ มนุษย์ก็ทำได้ สิ่งที่ทำได้ๆ นะ คำว่า “ทำได้” ไง พอทำได้ขึ้นไป เห็นไหม

เวลาคนที่ไม่มีวุฒิภาวะ เอามาเสนอ เอามาทำ ทำจนมันไม่มีค่า เวลาคนที่มีค่าๆ นะ หลวงปู่ฝั้น อย่าหายใจทิ้งเปล่าๆ เวลาหายใจมีสติสัมปชัญญะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ อย่าหายใจทิ้งเปล่าๆ

ความเป็นอยู่ของเรา เวลาจะประพฤติปฏิบัติธรรมนะ “ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน”

ชีวิตประจำวันมันมีค่าขนาดไหนวะ ปฏิบัติธรรมเพื่อปฏิบัติธรรมสิ

เราเป็นห่วงกันไง เราเป็นทุกข์เป็นยากขึ้นมาแล้วมันบีบคั้น มันมีข้าศึกศัตรูเข้ามาทุกทางเลย ทุกข์ทั้งทางบ้าน ทุกข์ทั้งครอบครัว ทุกข์ทั้งหน้าที่การงาน ทุกข์เพราะสังคม ทุกข์เพราะคนต้องเป็นหนี้เป็นสิน มันหมุนมาตลอด ความทุกข์มันบีบคั้นเข้ามาทุกสารทิศเลย มันก็เลยไม่มีทางออกไง พอไม่มีทางออกขึ้นมา จะทำหน้าที่การงานก็จะใช้หนี้ใช้สิน ไปทำหน้าที่การงาน ทำงานเพื่อให้มีการใช้สอยในครอบครัว แล้วหัวใจมันเครียด ก็เลยปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน

ตั้งสติไว้ จะทำหน้าที่การงานก็ทำของเรา เวลาของเราทำประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับเราข้างหน้า ถ้าประโยชน์กับเราข้างหน้า เวลาเราจะปฏิบัติ เรามีสติสัมปชัญญะหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนี่แหละ แล้วมีสติอยู่กับหน้าที่การงานนั้น ถ้าอยู่กับหน้าที่การงานนั้น ทำสิ่งใดแล้วประสบความสำเร็จไม่ประสบความสำเร็จ ยิ้มรับมัน

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ด้วยเวรด้วยกรรมของคนไง ถ้าคนทำหน้าที่การงานขึ้นมาแล้วมันขาดตกบกพร่องแล้ว นั่นก็กรรมของเขา กรรมของเขา กรรมของเขาเพราะอะไรล่ะ

เพราะเวลาที่เราทุกข์เรายากอยู่นี่ เราบีบเราคั้นอยู่นี่ เราทำสิ่งใดที่มันโดยอารมณ์ อารมณ์ชั่ววูบๆ แล้วมันสร้างเวรสร้างกรรมไปทั้งสิ้น เวลามันสร้างเวรสร้างกรรมไปแล้ว เวลามันเกิดขึ้นมา มันผลกระทบกับเราขึ้นมา มันก็เป็นผลกระทบไง ถ้าผลกระทบอันนั้นน่ะ ยิ้มรับมัน ถ้ายิ้มรับมันแล้ว ทำให้ดีงามของเราขึ้นมา

นี่ชีวิตทางโลกๆ นะ ชีวิตทางโลก แล้วเราเกิดมากับโลก เราเกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เรามีชีวิตนี้มา ชีวิตนี้มาเพื่อชีวิตของเรา ชีวิตของเราตรากตรำทั้งสิ้น

เวลาชาวไร่ชาวนา ตั้งแต่เกิดจนตาย หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ผิวหนังแตกระแหงหมด นี่ทุกข์จนตาย แต่ของเรา เราเกิดมาเราตั้งใจทำ นี่เรื่องของโลกๆ ไง แต่ถ้าเราเป็นชาวไร่ชาวนาไง ทุกข์เกือบจะตาย

ดูประวัติของหลวงปู่ลี ท่านก็ทำนานะ ตอนกลางคืนท่านก็เดินจงกรมของท่าน เดินจงกรม ท่านก็ชาวนาทั้งนั้นน่ะ ชาวนาก็ทำหน้าที่การงานของเรา แต่หัวใจที่เป็นธรรมๆ นะ มันพอแยกเวลาของเราทำได้

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ มันต้องอยู่ที่เหตุที่ผลไง เหตุผลของคนถ้ามีสติปัญญามันทำได้ไง มันไม่น้อยใจกับชีวิตนี้ไง

หลวงปู่ลีท่านเกิดมาท่านไม่น้อยใจกับชีวิตท่านเลย ท่านเกิดมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อย พ่อแม่แยกจากกัน ตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ อพยพหาที่ทำกินของท่าน ท่านมีทุกข์มียากมาทั้งชีวิตเลย ท่านไม่เห็นเก็บมากดดันตัวเองเลย ท่านปฏิบัติของท่านจนท่านเป็นพระอรหันต์น่ะ หลวงปู่ลี

เราจะบอกว่า เวลาหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน มันเป็นความทุกข์ความยาก มันก็เป็นความทุกข์ความยาก ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ มันอยู่ที่เหตุไง เหตุผลของใครไง

ถ้าเหตุผลของกิเลส เหตุผลของพาล พาลมันก็ตีโพยตีพาย มันเป็นพาล ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ก็เหตุอย่างนี้ไง ดูสิ เด็กไร้เดียงสามันวิ่งเล่นของมัน ก็เหตุผลของมัน เหตุผลของมัน แล้วพูดกับมันรู้เรื่องไหม

ถ้าเหตุผลของเรามันโตขึ้นมา เราก็มีสติปัญญาของเรามากขึ้น ถ้ามีสติปัญญามากขึ้น สิ่งที่เราตกทุกข์ได้ยาก เราจะมีขาดตกบกพร่องอย่างใดก็แล้วแต่ มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ ถ้ามันสมบูรณ์ขนาดไหน จิตใจมันไม่พอใจ มันก็ดีดมันก็ดิ้นในใจนั้นแหละ แต่ถ้ามันจะเป็นความจริง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุอะไร ถ้าเหตุมันไม่สมบูรณ์ ผลมันมาจากไหน

นี่ไง เวลาทำบุญกุศล ติดสินบนเลย จะเอาไอ้นั่น จะเอาไอ้นั่น จะเอาไอ้นั่น

ไอ้นี่มันเป็นอธิษฐาน อธิษฐานถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้มันก็เป็นประโยชน์กับเรา แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุอะไร เหตุเหยาะแหยะ นั่งนินทา ปฏิบัติก็สักแต่ว่า จะเอามรรคเอาผลนะ จะเอาให้ได้ แล้วมันจะเอามาจากไหนล่ะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปฏิบัติกับเจ้าลัทธิต่างๆ นี่พระอรหันต์ๆ ไง พระพุทธเจ้าไม่ยอมรับ ไม่ใช่ ไม่ใช่

นี่ก็เหมือนกัน เหยาะๆ แหยะๆ แล้วก็เป็นไอ้นู่น เป็นไอ้นี่ เป็นอะไร แล้วครูบาอาจารย์บอกไอ้นั่นเป็น องค์นั้นเป็น ไอ้นี่เป็น ใครบอก มันเอามาจากไหน ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุผลมันสมควรไหม เหตุ เหตุของพาล เหตุของกิเลส เหตุของการเห็นแก่ตัว เหตุของการยึดมั่นถือมั่น เอาผลมาจากไหน

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกปฏิบัติของท่าน ไม่สนน่ะ ชีวิตทางโลกมันก็เป็นแบบนั้นน่ะ เอาชีวิตรอด ถ้าเอาชีวิตรอดขึ้นมา พอเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งแล้วพยายามจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา ถ้าจิตใจของคนที่มีจริตนิสัยที่มันมีอำนาจวาสนานะ มันไปรู้ไปเห็นสิ่งใด หลอกล่อทั้งนั้นน่ะ ไอ้นั่นจะเป็นไอ้นี่ ไอ้นี่จะเป็นไอ้นั่น

แล้วเวลาคนทางโลกปฏิบัติแล้วไม่อยากเห็นผีเห็นสาง

เห็นผีเห็นสางนั่นมันจิตวิญญาณ แต่เวลาเห็นอริยสัจ เวลาเห็นกาย เวลาเห็นกาย เห็นกระดูก เห็นอัฐิต่างๆ ไอ้นั่นมันเป็นอริยสัจ มันไม่ใช่ผี มันเกิดจากจิตที่สงบ จิตที่เป็นสัมมาสมาธิที่มันรู้มันเห็นของมันได้ เหตุมันมาแตกต่างกันนะ แต่เวลาผล เหมารวมเลย นี่เป็นผีเป็นสาง น่ากลัวนะ

ไอ้เป็นผีเป็นสาง เราน่ะเป็นผีเป็นสางแน่นอน เวลาเราตายไปแล้วไม่มีสิ่งใดจะมาเจือจาน ตรงนั้นน่ะมันถึงวาระมันจะรู้ของมันไง

แต่ถ้ามีสติปัญญา เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติไปนะ ผลของวัฏฏะ คำว่า “วัฏฏะ” กามภพ รูปภพ อรูปภพ ตั้งแต่นรกอเวจีต่างๆ คนตกทุกข์ได้ยาก จิตที่มันตกทุกข์ได้ยาก ไปเห็นนะ

เวลาหลวงตาท่านพูดถึงแม่ชีแก้ว เวลาท่านมีอำนาจวาสนาของท่าน ท่านไปเที่ยวนรก ในนรก ผียังต้องจับขังคุกไว้อีกนะ ในนรกแล้วมันยังไปปั่นป่วนในนรกอีกนะ นั่นเวลาผีน่ะ

ไอ้นั่นน่ะผลของวัฏฏะ นั่นน่ะจิตวิญญาณ แล้วตอนนี้มันก็อยากจะพิสูจน์กันว่ามีจริงหรือไม่มีจริง เวลาพิสูจน์ไม่มีจริง ถ้าพิสูจน์ก็พิสูจน์ที่ใจนี้ไง ไอ้ที่ไปพิสูจน์ พิสูจน์ผี เอ็งนั่งลงแล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธสิ ลองให้จิตเอ็งสงบสิ เอ็งจะรู้ว่าไอ้ผีตัวแรกคือไอ้จิตวิญญาณดวงนี้ ไอ้จิตดวงที่ความรู้สึก ความรู้สึกคือพุทธะ พุทธะที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะน่ะ แล้วเวลามันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำ นั่นมันชักนำให้ไปเกิดเป็นผี

แต่เวลาธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ เหตุที่ทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดี สะสมคุณงามความดีของเรา สะสมความดีนะ

เวลาทำสิ่งใดเราก็น้อยอกน้อยใจไง ชีวิต เวลาทุกข์ยาก ชาวไร่ชาวนาเขาทุกข์ยากของเขา เวลาเขามีเวลา เขาประพฤติปฏิบัติของเขา เขาค้นคว้าหาหัวใจของเขา เวลาหัวใจของเขา เดินจงกรมอยู่ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา งานก็คืองาน เวลาจิตสงบมา หัวใจของเราไง ไอ้ผีตัวแรก ไอ้ผีเรานี่ มันยิ่งมีคุณค่าขึ้นมา มันมีคุณค่าขึ้นมา

เราจะมาทิ้งชีวิตของเราให้หมดสิ้นโดยการอยู่กับโลกอย่างนี้ใช่ไหม เราจะเอาชีวิตเรามาทิ้งให้มันหมดเปลืองไปกับความเป็นอยู่ของวัฏฏะนี้ใช่ไหม ถ้าเราจะสร้างคุณค่าชีวิตของเราขึ้นให้มันดีงามกว่านั้นไง

ถ้ามันดีงามกว่านั้น ค้นคว้าๆ ค้นคว้าก็มองไปไง มองไปที่ครูบาอาจารย์ไง ครูบาอาจารย์ของเราบวชตั้งแต่เป็นสามเณร คนที่บวชตั้งแต่เณรมา บวชมาทั้งชีวิต ชีวิตอยู่ในสมณเพศ มันมีความสุขมาจากไหน มันมีความสุขเพราะจิตมันสงบไง ถ้าจิตสงบระงับ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีไง ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามาแล้วมันเหนือโลก เหนือวัฏฏะ เหนือเหตุผลของกิเลสไง

นี่ไง เวลาหลวงตาท่านสอน เวลาเขามาพูดบ่อย คนเขาถามมาไง มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด มรรคหยาบมันคืออะไร มรรคหยาบคือทิฏฐิมานะที่มันทำแล้วมันว่าอันนั้นเป็นความดีๆ ไง ความดีอย่างนั้นน่ะมรรคหยาบๆ ความดีหยาบๆ มันฆ่ามรรคละเอียด คือมันจะสร้างคุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่ ที่ละเอียดยิ่งกว่านี้ขึ้นมาไม่ได้

ถ้ามันจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมากกว่านี้นะ มรรคหยาบ เราพัฒนาขึ้นไปให้เป็นมรรคละเอียด มรรคละเอียดสุด ละเอียดจนสุดยอด แล้วละเอียดอย่างไร ละเอียดเป็นผงหรือ ละเอียดเป็นอากาศหรือ ละเอียดไม่มีอะไรหรือ

ละเอียดมันก็จากหัวใจดวงนั้นมันรู้ไง

เวลามันเกิด เราทำคุณงามความดี เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา เราจะเป็นนักรบ เราก็เสียสละจากความเป็นฆราวาส ความเป็นฆราวาสนะ ก็อยู่ใต้กฎหมายของสังคมนั่นแหละ

เวลาบวชมาแล้ว กฎหมายสังคมก็บังคับใช้ ทั้งยังมีธรรมวินัยบังคับเข้ามาอีก นี่ไง มันจะละเอียดเข้ามาแล้ว แล้วละเอียดเข้ามานะ เวลาที่ความคิดต่างๆ คิดขึ้นมาจากหัวใจของเรา คิดขึ้นมาจากความพอใจ

มันพอใจอะไรสิ่งใดมันบอกว่า นี่ในพระไตรปิฎกๆ ถ้ามันไม่พอใจนะ ไอ้นี่แต่งเติมมา

เอ็งรู้ได้อย่างไร เอ็งทำแล้วหรือ

แต่เวลาพระกรรมฐานเรานะ เปิดตู้พระไตรปิฎกในหัวใจ เวลามันเปิดออกมา เวลาในประวัติหลวงปู่มั่น เวลาคนที่มีอำนาจวาสนานะ เวลาปฏิบัติไปเกิดนิมิต เวลาฝันไปไง ข้ามขอนภพขอนชาติ ข้ามท่อนซุง ว่านี่เป็นขอนภพขนชาติ ได้ขี่ม้าขาวไป วิ่งไปถึงที่สุดไปเจอตู้พระไตรปิฎก ตื่นเสียก่อน มันยังไม่ได้เปิด ถ้าหลวงปู่มั่นได้เปิดตู้พระไตรปิฎกในใจอันนั้นนะ ท่านจะมีคุณสมบัติที่เลอเลิศกว่านี้อีกมากเลย นี่ไง คนที่มีบุญมีกุศลเวลามันเห็น มันเห็นอย่างนั้นไง

แต่เวลาเราฝันไปแล้วเราเห็นแต่ความทุกข์ความยาก เราเห็นแต่คนจะทำร้าย เราต้องวิ่งหนีกระหืดกระหอบ ทุกข์มาก แล้วใครทำให้ล่ะ ก็ฝันเอง

ฝันมันก็เกิดจากสัญญาเดิมๆ เก่าๆ ที่มันสร้างภพสร้างชาติมา เวรกรรมมันไล่หลังมา เวลาไล่หลังมานะ ไอ้นั่นผลของวัฏฏะ คำว่า “ผลของวัฏฏะ” นั่นน่ะเป็นนิทาน คำว่า “นิทาน” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพระมีเหตุผลต่างๆ ขึ้นมา ไปถามไง

“เราเคยเป็นพระเวสสันดร เราเคยเป็น”

นี่ก็เหมือนกัน จิตที่มันเคยเป็น แต่นั้นเป็นอดีตไปแล้ว เป็นประสบการณ์อันหนึ่ง มันตกผลึกเข้ามาอยู่ในใจนี้ ในหัวใจนี้ มันตกผลึกอยู่ในหัวใจนี้ เวรกรรมมันตกผลึกอยู่ในหัวใจนี้ เวลามันตกผลึกอยู่ในหัวใจ นี่ไง ภวาสวะ จิตเดิมแท้ไง นี่เวลามันเกิดขึ้นไง

เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนให้ประพฤติปฏิบัติ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ

เวลาหลวงตาท่านสอนนะ เหตุและผลคือธรรม เหตุและผลคือธรรม

แล้วมันเหตุของใคร เหตุของโจรมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เหตุของกิเลสก็เป็นอย่างหนึ่ง เหตุของพาลก็เป็นอย่างหนึ่ง เหตุของสัมมาทิฏฐิ แล้วเหตุของสัมมาทิฏฐิมันตั้งแต่หยาบๆ ขึ้นมาใช่ไหม

เราเริ่มต้นขึ้นมา เราก็พยายามสร้างคุณงามความดีของเรา อยู่ทางโลกนั่นแหละ ให้อภัยต่อกัน แล้วไม่เอารัดเอาเปรียบใคร เราช่วยเหลือเจือจานใครแล้วไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าหวังผลตอบแทน ไอ้ผลตอบแทนนั่นน่ะมันจะมาทิ่มมาตำให้มีความรู้สึก

ทิ้งไปเลย ทิ้งไปเลย ทิ้งไปเลย ทำแล้ว แล้วกันไป

แล้วถ้ามันละเอียดขึ้น เห็นไหม แล้วเราล่ะ เราจะได้สิ่งใดมาล่ะ แล้วชีวิตนี้มันคืออะไรล่ะ ถ้ามันสนใจขึ้นมาอย่างนี้มีศรัทธาความเชื่อ เราจะหาครูบาอาจารย์ที่ดีงาม ถ้าหาครูบาอาจารย์ที่ดีงามนะ

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาผลงานมันเกิดขึ้นมาจากไหน ผลงานมันเกิดขึ้นมาจากการเดินจงกรม ทางจงกรมนี่

เวลาอยู่บ้านตาด ในทางจงกรม หลวงตาท่านไปเช็กตลอด ได้เดินหรือเปล่า ได้ใช้หรือเปล่า ถ้ามันจะได้ใช้ เห็นไหม

เวลาหลวงตาท่านทำโครงการช่วยชาติฯ เวลาพวกพระผู้ใหญ่เขาบอกเลย ท่านทำคนเดียวไม่ได้ จะต้องตั้งคณะกรรมการเพื่อเข้ามาช่วยกันปรึกษา ช่วยกันดูแล

ท่านบอกว่าไม่ต้อง มีที่ปรึกษาสมบูรณ์แบบ คือพระธรรม แล้วมันปรึกษาที่ไหน ทางจงกรมไง

เวลาปัญหามันเกิดขึ้น เข้าทางจงกรม ถามพระธรรม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรม ถามพระธรรมอันนั้น ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยการพิจารณา เห็นไหม นี่เหตุ เหตุของคนที่มีคุณงามความดีของเขา เขามีสัจจะมีความจริงในใจของเขา

เวลามีปัญหาขึ้นมาสิ่งใด เดินทางจงกรม เวลามันตอบขึ้นมาว่าสิ่งนั้นควรทำ สิ่งนั้นไม่ควรทำ สิ่งนั้นด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยสัจธรรม ในทางจงกรมน่ะ ในทางจงกรมมันตอบสนองขนาดนั้นน่ะ

เวลาครูบาอาจารย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเทศนาว่าการให้ปัญจวัคคีย์แล้ว ไปเดินจงกรมอยู่

เวลายสะ “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่น่ะ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ พระอรหันต์ต้องภาวนาอีกหรือ นี่ไง อยู่กับพระธรรม สัจธรรมไง

“ยสะ ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่วุ่นวาย”

อยู่ในปราสามสามหลังนะ มีความสุขสมบูรณ์แบบ ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทองบริบูรณ์ “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ วุ่นวาย วุ่นวาย”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ “ที่นี่เป็นที่สงบสงัด ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่มีแต่ความร่มเย็น”

ยสะเข้าไปฟัง ไปฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ

นี่เวลามันเดือดร้อนมันเดือดร้อนอย่างนั้น

นี่พูดถึงอำนาจวาสนาของคนนะ ถ้าใจมันเป็นธรรมๆ มันเป็นธรรมอย่างนี้ แล้วถ้าใจเป็นธรรมมันมาจากไหน ใจเป็นธรรมนะ

ในหนังสือก็เป็นหนังสือนะ หนังสือพิมพ์มามากน้อยขนาดไหนมันก็กองอยู่นั่นน่ะ แล้วมันให้ผลประโยชน์กับใคร เวลาคนไปอ่านแล้วเกิดทัศนคติ เกิดความรู้สึก เกิดความดีๆ ขึ้นมา

นี่ไง หลวงตาท่านบอก หัวใจของคนเท่านั้นสัมผัสธรรม หัวใจของคนเท่านั้นสัมผัสธรรม

แค่สิ่งที่มีสติมีปัญญาศึกษาแล้วมันใคร่ครวญ ใคร่ครวญมันเป็นสุภาพบุรุษไง ใคร่ครวญว่าถูกหรือผิด ผิดชอบชั่วดีมีความเข้าใจ

เราจะปรึกษาใคร เรานี่ยิ่งใหญ่นะ มีความรู้มาก ฉลาด ยอดเยี่ยม แต่ทุกข์น่าดูเลย มันแก้ไม่ได้ ไอ้ว่ายิ่งใหญ่ ทำไมเอ็งทุกข์ล่ะ แต่เวลาศึกษาไม่มีทางออกนะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผิดชอบชั่วดี เออ! อันนี้คิดผิด

ธรรมะท่านบอกเลย สัจจะมันเป็นอย่างนี้ ถ้าสัจจะมันเป็นอย่างนี้นะ นี่ไง โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มันเป็นของชั่วคราวทั้งสิ้น ของชั่วคราว ใครได้สิ่งใดมา ทำคุณงามความดีมา กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันก็หอมทวนลม มันถนอมรักษาให้คนยอมรับ ให้สังคมเชิดชูบูชา แต่ถ้ามันกลิ่นเหม็น กลิ่นเหม็นเราได้มาด้วยอำนาจ เดี๋ยวมันถึงเวลา สังคมเข้าใจแล้ว มือไม้อ่อน ขอโทษๆ ทีแรกเก่งนะ ใครๆ ก็เก่งทั้งนั้นเลย เวลาคลิปมันออกไปนะ ขอโทษๆ

คิดคนเดียวไง มีอำนาจวาสนามาก แต่เวลาเป็นจริงๆ ความจริงอันนั้น ถ้าความที่เขาเชิดชูบูชา ความเชิดชูบูชานั้นมันเป็นสัจจะ แล้วเวลาพิจารณาเข้าไปนะ เวลาเห็นกิเลส เห็นตัณหาความทะยานอยากในใจของตน ยิ่งมหัศจรรย์กว่านั้นอีก ไม่ต้องสังคมเชิดชูบูชา

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสำเร็จ มีพระอรหันต์สมัยพุทธกาลมาอนุโมทนาๆ

อนุโมทนาเพื่ออะไร

ดูสิ เวลาฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลสมบูรณ์แบบนะ ประชาชนมีความสุขมาก เวลาภัยแล้ง โอ้โฮ! มันทุกข์มากนะ เวลาน้ำท่วม ทุกคนก็พยายามรักษาชีวิตรอด

นี่เหมือนกัน เวลาหลวงปู่มั่นท่านเป็นสัจธรรมขึ้นมาแล้ว สังคมจะได้อาศัยความร่มเย็นเป็นสุขจากใจอันนั้น มันไม่ต้องแห้งแล้งจนทุกข์จนยากขนาดนั้น ไม่ต้องน้ำท่วมตาย พยายามเกาะกันอยู่อย่างนั้น นี่พระอรหันต์เขามองกันอย่างนั้นไง

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ท่านถึงอนุโมทนา อนุโมทนาแล้วเป็นจริงๆ หรือไม่ แล้วเรามีสัจจะความจริงนะ

เราจะบอกว่า เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานะ เรามีบุญมาก เหมือนโรงพยาบาลมีหมอ โรงพยาบาลไม่มีหมอนะ เข้าไปโรงพยาบาลแล้วไปนอนบนเตียงรอหมอ

หมอไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นไง ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นหมอ หมอรักษาสังคม สัจธรรมนั้นได้แก้ไขคนที่เห็นผิด สังคมที่ถือผี สังคมที่แก่งแย่งทำลายกัน สัจธรรมนั้นไปรักษาสังคมนั้นให้เสมอภาค ให้มีน้ำใจต่อกัน ให้เห็นอกเห็นใจกัน นี่ธรรมโอสถ รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้เป็นธรรมเพื่อความอยู่ร่มเย็นเป็นสุข เพื่อความอบอุ่นในพระพุทธศาสนา เอวัง